ภิกษุผู้เป็นเลิศด้านมีปัญญามาก
เหตุการณ์ต่างๆ แบ่งอ่านได้เป็นตอนๆ ดังนี้
“พระสารีบุตรเถระ เล่าไว้หลังบรรลุพระอรหันต์แล้วว่า…” …..สมัยพระพุทธเจ้าอโนมทัสสีพระองค์นั้น พระเถระนี้เกิดในสกุลพราหมณ์ ต่อมาออกบวชเป็นดาบส ชื่อ สุรุจิ มีศีล ได้ฌานและบรรลุอภิญญา 5 เช่น ตาทิพย์ เป็นต้น อาศัยอยู่ที่ภูเขาลัมพกะ เขตหิมวันตประเทศ… อ่านต่อ
ในที่สุดอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป พระสารีบุตรเคยเกิดในครอบครัวพราหมณ์อันมั่งคั่ง ท่านมีชื่อว่า สรทะ ส่วนท่านพระโมคคัลลานะ เคยเกิดในครอบครัวคฤหบดีอันมั่งคั่ง ท่านมีชื่อว่า สิริวัฑฒ์ ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมา จนเมื่อบิดาล่วงลับไป สรทมาณพก็ได้ครอบครองทรัพย์จำนวนมาก วันหนึ่งสรทมาณพอยู่คนเดียวครุ่นคิดคำนึงว่า… “เราไม่รู้อัตภาพในโลกนี้ ทั้งไม่รู้อัตภาพในโลกอื่น เรารู้แต่ว่า… อ่านต่อ
สมัยนั้น พระพุทธเจ้าอโนมทัสสีทรงอุบัติตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระพุทธบิดาเป็นกษัตริย์พระนามว่า ยตวันตะ พระพุทธมารดาพระนามว่า ยโสธรา พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ที่ต้นไม้กุ่ม ทรงมีพระอัครสาวกทั้งสอง ชื่อ พระนิสภเถระ และ พระอโนมเถระ ในกาลนั้นพระพุทธเจ้ามีพระชนมายุยืน 1 แสนปี… อ่านต่อ
หลังจากสรทดาบส ปูอาสนะถวายพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่ดาบสปูไว้ ดาบสนั่งอาสนะต่ำกว่า ขณะนั้น หมู่ชฎิลผู้เป็นศิษย์ของดาบส 74,000 คน ถือผลไม้น้อยใหญ่รสอร่อยกลับมา ก็มองดูการนั่งของอาจารย์กับคนแปลกหน้า หมู่ศิษย์กล่าวกับสรทดาบสว่า… “ท่านอาจารย์ พวกเราอยู่กับท่านเพราะเข้าใจว่า ไม่มีใครในโลกนี้เป็นใหญ่กว่าท่านแน่ แต่ว่าคนผู้นี้เห็นทีจะยิ่งใหญ่กว่าท่าน”… อ่านต่อ
ดาบสถวายบังคมแล้วกราบทูลถามว่า… “ภิกษุที่นั่งติดกับพระองค์ชื่ออะไร?” พระพุทธเจ้าอโนทัสสีตรัสตอบว่า… “ภิกษุนี้ชื่อว่านิสภะ เป็นพระอัครสาวกถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ” สรทดาบสฟังแล้วตั้งความปรารถราว่า…“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กั้นฉัตรดอกไม้ตลอด 7 วัน กระทำสักการะนี้ ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาจะเป็นท้าวสักกะหรือพรหม แต่ในอนาคต ขอให้ข้าพระองค์พึงได้เป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเหมือนพระนิสภเถระนี้” พระพุทธเจ้าทรงสั่งอนาคตังสญาณไปในอนาคตว่า ความปรารถนาของดาบสจะสำเร็จไหมหนอ?… อ่านต่อ
สรทดาบสคิดถึงสิริวัฑฒ์กุฎุมพีผู้เป็นสหาย ต้องการให้เพื่อนปรารถนาเป็นพระอัครสาวกคนที่สอง จึงไปหาสิริวัฑฒ์ที่เรือนของเขา สิริวัฑฒ์เห็นดาบสแล้วกล่าวทักทายว่า… “นานแล้วที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้มานั่งที่นี้” เชื้อเชิญให้ดาบสนั่งบนที่สูง ตนเองนั่งบนที่ต่ำ แล้วถามถึงพวกศิษย์ ดาบสจึงเล่าเรื่องที่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังธรรม พวกศิษย์ทั้งหมดบรรลุพระอรหัตและขอบวชเป็นภิกษุทั้งหมด ส่วนตนเองไม่ได้บรรลุ แต่ได้ตั้งจิตปรารถนาเป็นพระอัครสาวก และได้รับพยากรณ์ว่าจะสำเร็จในสมัยพระพุทธเจ้าโคตมะ เล่าจบแล้วก็ขอให้สิริวัฑฒ์ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกคนที่สอง… อ่านต่อ
อรรถกถาเอกนิบาตเล่าว่า ก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมะของพวกเราจะตรัสรู้ สรทดาบสเกิดในครรภ์ของนางสารีพราหมณี ในหมู่บ้านอุปติสสะ ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ ในวันเดียวกันนั้นแหละ สิริวัฑฒ์ผู้เป็นสหายก็เกิดในครรภ์ของนางโมคคัลลีพราหมณี ในบ้านโกลิตะไม่ไกลจากรุงราชคฤห์เช่นกัน ได้ยินว่าทั้งสองตระกูลนั้นเป็นสหายเกี่ยวเนื่องกันมาถึง 7 ชั่วโคตรทีเดียว เมื่อมารดาของทารกทั้งสองอุ้มครรภ์อยู่ 10 เดือน ก็ให้กำเนิดทานกเพศชายทั้งสองนั้น… อ่านต่อ
วันหนึ่ง เมื่อทั้งสองคนดูมหรสพอยู่ แต่มิได้มีความร่าเริงสนุกสนานอย่างเคย เพราะญาณปัญญาเริ่มแก่กล้า ทำให้มีสติมีปัญญาพิจารณาหาสาระในมหรสพและชีวิต ทั้งสองคิดว่า…“ไม่เห็นจะมีอะไรควรดูควรได้จากมหรสพนี้ คนที่แสดงเหล่านี้ทั้งหมดมีชีวิตไม่ถึง 100 ปี ก็จะล้มหายตายจากกันไป เราทั้งหลายควรจะแสวงหาโมกขธรรมสักอย่างหนึ่ง” แล้วนั่งนึกพิจารณากันต่อไป ลำดับนั้น โกลิตะถามอุปติสสะว่า… “สหายอุปติสสะ… อ่านต่อ
สมัยนั้น พระพุทธเจ้าของพวกเราบรรลุพระปรมาภิสัมโพธญาณ (ความตรัสรู้ชอบยิ่งสูงสุดแล้ว) ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร ทรงส่งพระสาวกออกประกาศคำสอน ส่วนประองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ วันหนึ่งอุปติสสปริพาชกรับประทานอาหารแต่เช้ามืด แล้วออกเดินไปยังอารามของปริพาชก พอสว่างแล้ว เขาได้เห็นพระอัสสชิเถระเดินเที่ยวบิณฑบาต ก็คิดว่า…“บรรพชิตเห็นปานนี้ เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” พระอัสสชินั้น มีมารยาทงามก้าวไป… อ่านต่อ
เมื่ออุปติสสะบรรลุพระโสดาบันแล้ว อุปติสสะเรียนพระอัสสชิว่า… “ท่านขอรับ ท่านไม่ต้องขยายพระธรรมเทศนาให้ยิ่งขึ้นไป เท่านี้ก็เพียงพอ ตอนนี้พระศาสดาของพวกเราประทับอยู่ที่ไหน?” พระอัสสชิตอบว่า… “ผู้มีอายุ ตอนนี้พระองค์ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน” อุปติสสะกล่าวว่า… “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้นขอท่านโปรดล่วงหน้าไปก่อนเถิด ข้าพเจ้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง และข้าพเจ้าทั้งสองได้ตกลงกันไว้ว่า ใครบรรลุอมตธรรมก่อน… อ่านต่อ
เมื่ออุปติสสะและโกลิตะ พร้อมปริพาชกบริวาร เดินทางเพื่อไปพบพระพุทธเจ้า ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำลังแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท 4 ทรงเห็นคนเหล่านั้นแต่ไกล พระพุทธองค์จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า… “ภิกษุทั้งหลาย สหายทั้งสองคนนั้นคือโกลิตะและอุปติสสะ ที่กำลังมานั่นจักเป็นคู่สาวกของเรา เป็นคู่สาวกอันยอดเยี่ยมของเรา” ลำดับนั้น ทรงแสดงขยายพระธรรมเทศนาที่เนื่องด้วยความพระพฤติแห่งบริวารของสหายสองคน เมื่อจบเทศนาแล้ว… อ่านต่อ
นางสารีพราหมณี มารดาของพระสารีบุตร มีบุตรอยู่ 7 คน เรียงลำดับดังนี้ 1. พระสารีบุตร ก่อนบวชชื่อ อุปติสสะ (อุ-ปะ-ติส-สะ) 2. นางจาลา 3. นางอุปจาลา… อ่านต่อ
สมัยหนึ่ง พระสารีบุตรพาภิกษุประมาณ 500 รูป เที่ยวบิณฑบาตไปถึงบ้านมารดาในนาลกคาม (บางที่เรียกว่า นาลันทา) ครั้นนั้น มารดาของท่านนิมนต์เข้านั่งในบ้านแล้ว ถวายอาหารไปพลาง พูดประชดประชันไปพลาง มารดาของท่านกล่าวว่า… “ผู้เจริญ ท่านไม่ได้ของเคี้ยวหรือน้ำข้าวในเรือนของคนอื่น ท่านก็สมควรจะกินน้ำข้าวที่ติดอยู่เพียงหลังกระบวยเถอะ… อ่านต่อ
สมัยหนึ่ง พระสารีบุตรจำพรรษาที่พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี ออกพรรษาแล้วท่านต้องการจะจาริกไปสู่งที่อื่น จึงพร้อมด้วยภิกษุบริวารของท่านเข้าเฝ้าทูลลาพระพุทธเจ้า เมื่อออกจากที่ประทับแล้ว ภิกษุจำนวนมากต้องการตามส่ง เป็นมารยาทและความรักความผูกพันที่ภิกษุทั้งหลายมีต่อท่าน ทำให้ท่านต้องสนทนาปราศรัยกับภิกษุจำนวนมาก ทั้งถามชื่อถามโคตร ด้วยความมีภิกษุจำนวนมาก ท่านจึงไม่สามารถจะสนทนาได้ทั้งหมด ระหว่างนั้นมีภิกษุรูปหนึ่งน้อยใจ คิดว่า…“พระสารีบุตรเถระน่าจะยกย่องปราศรัยกับเราบ้าง อย่างน้อยก็ควรจะถามชื่อและโคตร… อ่านต่อ
คุณธรรมด้านขันติและความไม่โกรธของพระสารีบุตรแพร่หลายออกไป ผู้คนเป็นอันมากกล่าวสรรเสริญพระเถระไปทั่วว่า… “น่าชื่นชมพระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา ท่านประกอบด้วยกำลังคือขันติ แม้ถูกชนเหล่าอื่นด่าอยู่ก็ตาม ทำร้ายอยู่ก็ตาม เหตุสักว่าความโกรธนิดนึงก็ไม่เกิด” ครั้งนั้น มีพราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่งได้ฟังแล้วถามว่า… “ใครกันไม่โกรธ” ประชาชนตอบว่า… “ก็พระสารีบุตรเถระของพวกเราไง” พราหมณ์กล่าวว่า… “น่ากลัวว่าคงไม่มีคนยั่วให้โกรธกระมัง?” ประชาชนกล่าวว่า…… อ่านต่อ
เมื่อพระอัครสาวกสารีบุตรและโมคคัลลานะ มีบทบาทมากขึ้น มีชื่อเสียงมากขึ้นและเป็นที่รักของพุทธบริษัทมากขึ้น ก็ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่พระฉันนะผู้เคยติดตามเสด็จคราวออกมหาภิเนษกรมณ์ (เสด็จออกบวชอย่างยิ่งใหญ่) ครั้นเมื่อพระฉันนะได้พบพระอัพครสาวกในพระวิหารเชตวันแล้ว ได้ด่าด้วยคำว่า… “เราตามเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์กับพระลูกเจ้าของเราทั้งหลาย (เจ้าในที่นี้ก็คือ พระเจ้าสุทโธทนะ) ในเวลานั้น เราไม่เห็นใครคนอื่นสักคนเดียว แต่บัดนี้ พวกท่านนี้เที่ยวพูดไปว่า เราชื่อสารีบุตร… อ่านต่อ
ครั้งหนึ่ง พระกฬารขันติยะ (พระขัตติยะผู้มีฟันสีดำแดง) เข้าไปหาพระสารีบุตรถึงที่อยู่ในพระเชตวัน สนทนาปราศรัยกันแล้ว พระกฬารขัตติยะได้เล่าให้พระสารีบุตรฟังว่า… “บัดนี้ พระโมลิยผัดคุนะลาสิกขาไปแล้ว” พระสารีบุตรกล่าวว่า… “ท่านโมลิยผัดคุนะนั้น คงไม่ได้ความพอใจในพระธรรมวินัยนี้เป็นแน่” พระกฬารขัตติยะกล่าวว่า… “ถ้าอย่างนั้น ท่านพระสารีบุตรคงได้ความพอใจในพระธรรมวินัยนี้กระมัง” พระสารีบุตรตอบว่า…… อ่านต่อ