ถูกพระฉันนะด่า
เมื่อพระอัครสาวกสารีบุตรและโมคคัลลานะ มีบทบาทมากขึ้น มีชื่อเสียงมากขึ้นและเป็นที่รักของพุทธบริษัทมากขึ้น ก็ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่พระฉันนะผู้เคยติดตามเสด็จคราวออกมหาภิเนษกรมณ์ (เสด็จออกบวชอย่างยิ่งใหญ่)
ครั้นเมื่อพระฉันนะได้พบพระอัพครสาวกในพระวิหารเชตวันแล้ว ได้ด่าด้วยคำว่า…
“เราตามเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์กับพระลูกเจ้าของเราทั้งหลาย (เจ้าในที่นี้ก็คือ พระเจ้าสุทโธทนะ) ในเวลานั้น เราไม่เห็นใครคนอื่นสักคนเดียว แต่บัดนี้ พวกท่านนี้เที่ยวพูดไปว่า เราชื่อสารีบุตร เราชื่อโมคคัลลานะ พวกเราเป็นพระอัครสาวก”
พระพุทธเจ้าทรงสดับถ้อยคำนั้นจากภิกษุทั้งหลายแล้ว ตรัสให้พระฉันนะเข้าเฝ้า ทรงสอบถามแล้วตรัสสั่งสอน พระฉันนะนั่งรับฟังนิ่งอยู่ กลับออกจากการเฝ้าแล้วก็ยังกลับไปด่าอีก พระพุทธเจ้าทรงเรียกเข้าพบและตรัสสอนเป็นครั้งที่ 2
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเตือนว่า…
“ฉันนะ พระอัครสาวกทั้งสองนั้นเป็นกัลยาณมิตร เป็นบุคคลชั้นเลิศของเธอ เธอจงเสพจงคบกัลยาณมิตรเช่นนั้นเถิด”
จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัสพระคาถาว่า…
“บุคคลไม่ควรคบปาปมิตร ไม่ควรคบบุรุษต่ำช้า ควรคบกัลยาณมิตร ควรคบบุรุษสูงสุด”
แม้พระฉันนะจะได้ฟังพระโอวาแล้ว ก็ยังด่ายังขู่ภิกษุอีกเหมือนเดิม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบอีก
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า…
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเธอจะไม่อาจให้พระฉันนะสำเหนียกได้ แต่เมื่อเราปรินิพพานแล้ว จึงจักอาจ”
ในเวลาจวนปรินิพพาน พระอานนท์ได้ทูลถามวิธีปฏิบัติต่อพระฉันนะ พระพุทธองค์ทรงตรัสให้สังฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ ซึ่งหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์และภิกษุสงฆ์ได้ประกาศลงพรหมทัณฑ์ คือ ประกาศไม่ให้สงฆ์คบกับพระฉันนะได้ ไม่นานพระฉันนะก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
จาก : หนังสือ ๘๐ พระอรหันต์ ฉบับสมบูรณ์ หน้า 142 จัดพิมพ์โดยธรรมสภา